เทศน์เช้า

กฐินวัดป่าสันติพุทธาราม

๒๖ ต.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์กฐิน วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

งานทางโลกก็จบแล้วนะ ตอนนี้จะฟังธรรม วันนี้เป็นวันบุญกฐิน เป็นวันบุญกฐินนะ กฐินนี้ ครอบครัวคุณนเรศ โต๊ะสงวนพันธ์ เป็นคนทอด เป็นเจ้าภาพ แล้วให้เป็นความสามัคคี ถึงเป็นความสามัคคี สามัคคีกัน ให้เป็นกฐินมหาชน ถ้ากฐินมหาชน คนที่มาร่วมงาน คนที่มาทำงาน แม้แต่เฟืองตัวเล็กเฟืองตัวน้อยมันก็มีความสำคัญทั้งหมด มันไม่ใช่มีความสำคัญเฉพาะเฟืองตัวใหญ่ เฟืองตัวใหญ่ก็มีความสำคัญ เฟืองตัวเล็กก็มีความสำคัญ เฟืองตัวน้อยก็มีความสำคัญ คนเขามีศรัทธามีความเชื่อเขามาช่วยเหลือกัน ความช่วยเหลือกันนะ กฐินมหาชน ทุกคนปรารถนาดี ทุกคนปรารถนาบุญกุศล เขามาช่วยเหลือกัน

เรามาทำบุญเหมือนกัน ถ้ามาทำบุญเหมือนกัน สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่อง เพราะเดี๋ยวเราจะพูดไปเรื่อยๆ ว่าวัดป่ามันเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่วัดบ้าน มันไม่ใช่สิ่งที่อำนวยความสะดวก ถ้ามันอำนวยความสะดวก มันอำนวยความสะดวกให้กับกิเลส แต่ถ้ามันเป็นการขัดเกลากิเลสๆ ทุกคนไม่ค่อยอยากไป เห็นไหม เวลาไปวัดไปวามันไม่ไป มันจะไปโรงบาร์โรงบ้า มันชอบ เพราะอันนั้นมันธุรกิจบริการ เขาบริการ เขาดูแล

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเป็นกฐินมหาชน ทุกคนเป็นเจ้าของ ทุกคนเป็นเจ้าภาพ ทุกคนมีส่วนร่วม ทีนี้ความมีส่วนร่วมมันอยู่ที่น้ำใจ น้ำใจของคนนะ ถ้ามันสูงส่ง มันเสียสละนะ เขาเป็นใครล่ะ เขามาช่วยเหลือเจือจาน เขามาอำนวยความสะดวกให้ เขาเป็นใครล่ะ เขามีธุระอะไร เขามีหน้าที่อะไรเขาต้องมาอำนวยความสะดวกให้พวกเราล่ะ

เพราะว่าเขาเห็นแก่บุญกุศลของเขา เห็นแก่ประโยชน์ของเขา เห็นแก่การทำประโยชน์ เห็นไหม เขามาอำนวยความสะดวกให้เรา ฉะนั้น เรามีสิ่งใดถ้ามันไม่ได้ดั่งใจ มันขาดตกบกพร่อง ต้องให้อภัยต่อกัน เพราะว่ามันจะเป็นบุญกฐินไง

กฐินมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร กฐินมันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อนุญาต กฐินนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อนุญาตเท่านั้น ให้ทอดกฐินไง ให้ทอดกฐินเพราะว่าเวลาพระออกพรรษาแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ้ามันขาด ผ้ามันไม่สมบูรณ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติให้มีการทอดกฐิน

การทอดกฐินนะ การทอดกฐินมาจากพระบรมราชานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุญาตให้เราทำบุญกุศลกัน ให้เราทอดกฐินกันภายใน ๑ เดือนไง ปีหนึ่งมีหนเดียวไง กฐินมันก็เลยเป็นเรื่องบุญที่ว่าเราชาวพุทธเป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นประเพณีมาตั้งแต่โบราณมา เพราะว่าเถรวาทเชื่อพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ทำสังคายนามา จดจารึกมา จดจารึกมาเป็นธรรมและวินัย เราศึกษาข้อนั้นมาแล้วเรามีความเชื่อมีความศรัทธา เราทำของเรามานะ

เวลาคนที่เขามีอำนาจวาสนาเขาสร้าง เห็นไหม กฐิน สิ่งที่กฐินเป็นบุญกุศล แต่คนที่มีอำนาจวาสนาเขามีกำลังศรัทธาของเขา เขาสามารถสร้างวัดสร้างวา ดูสิ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา เขาสร้างขึ้นมาเป็นถาวรวัตถุที่เป็นมรดกโลก เป็นมรดกโลกเพราะอะไร เพราะว่ามันอ่อนช้อย มันมีความสวยงาม มันสวยงามมาจากไหนล่ะ? มันสวยงามมาจากหัวใจที่มีคุณธรรม หัวใจที่เป็นธรรม ถ้าหัวใจที่เป็นธรรมนะ ทำสิ่งใดออกมามันออกมาด้วยหัวใจไง

ฉะนั้น เวลาที่เขาทำกัน เขาทำด้วยน้ำใจ เขาทำด้วยความเต็มใจ เขาไม่ได้ทำด้วยการโดนบังคับ ถ้าเขาทำด้วยการโดนบังคับ ทำด้วยความแห้งแล้ง ฉะนั้น สิ่งที่เขาทำมาเขาสร้างวัฒนธรรมของเรา วัฒนธรรมของชาวพุทธเขามา สิ่งนี้มา มาเพื่อประโยชน์ ประโยชน์ที่ไหน? ประโยชน์ที่หัวใจไง ถ้าประโยชน์ที่หัวใจนะ ที่ว่าทอดกฐินๆ เราจะทอดกฐินกัน เราจะทำบุญกุศลกัน กฐินเพื่ออะไร? กฐินเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา มันได้บุญไหม? มันก็ได้บุญ สิ่งที่ได้บุญ ได้บุญเพราะอะไร? สิ่งนั้นเป็นการกระทำ วัดวาอารามเป็นที่อยู่ของภิกษุ สามเณร แล้วก็ศึกษาธรรมและวินัย สิ่งนี้ทำเพื่อเป็นวัตถุ ถ้าเป็นวัตถุนะ ก็สร้างวัตถุไง สิ่งต่างๆ ก็สร้างขึ้นมา แล้วถ้าทำสิ่งนั้นมา จิตใจของคนมันไม่เสมอกัน ไม่เท่ากัน คนที่จิตใจเขาสูงส่งเขาก็ช่วยเหลือเจือจาน

หลวงตาท่านพูดไว้ เวลาท่านออกมาโครงการช่วยชาติไง ท่านบอกว่าเราทำให้ลูกศิษย์ของเราบอบช้ำ

คำว่า “บอบช้ำ” บอบช้ำเพราะอะไรล่ะ บอบช้ำเพราะมีความศรัทธามีความเชื่อไง ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อ เราเสียสละ เสียสละเพื่ออะไร? เสียสละเพื่อชาติ เพราะถ้ามีชาติมันถึงมีศาสนา เพราะศาสนามันต้องอยู่บนแผ่นดิน อยู่บนชาตินั้น แต่ถ้าคนที่เขาไม่ศรัทธาเขาหาว่าเบียดเบียนไง ถ้าไปเบียดเบียนเขา เราไปเบียดเบียนเขาทำไม

แต่เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ ท่านเผดียง เผดียงคนที่มันไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้ว่าสมบัติส่วนตน ท่านถึงเผดียง เผดียงให้เข้าใจ แต่ไอ้คนที่ศรัทธา ศรัทธามันก็อยากจะร่วมบุญมากมหาศาลเลย มันก็ทุ่มเท

ท่านบอกว่า เงินทองมันไม่ใช่น้ำใช่ท่าจะไปตักเอาที่ไหนได้นะ เงินทองมันก็ต้องหามาใช่ไหม คนที่ทำแล้วก็รู้จักยับรู้จักยั้ง ทำพอประมาณใช่ไหม ที่พูดอยู่นี้ก็พูดถึงคนที่มันไม่ทำไง ไอ้คนที่ไม่ทำ เวลาเป็นบุญกุศลมันก็บอกว่าไปเบียดเบียนเขา ไอ้คนที่จะทำ ทำเพราะอะไร เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อ มันก็บอบช้ำ มันบอบช้ำ มันบอบช้ำเพราะมันเป็นประโยชน์ไง มันเป็นประโยชน์กับใคร? ประโยชน์กับคนคนนั้นใช่ไหม

สิ่งที่ทำ ถ้าจิตใจเขาสูงส่งมันก็เป็นการบอบช้ำ พอบอบช้ำ แต่ถ้าเขาศรัทธาของเขา เขาทำของเขาด้วยความเต็มที่ของเขามันก็เป็นบุญกุศลของเขา หัวใจของคนมันไม่เหมือนกัน มันไม่เท่ากัน ฉะนั้น สิ่งที่ทอดกฐิน จะทอดต่างๆ เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนานั้นมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง มันก็เป็นบุญกุศลเหมือนกัน คำว่า “บุญกุศล” มันเป็นบุญกุศลนะ แต่เราไม่ทำให้ใครบอบช้ำ ไม่ไปเบียดเบียนใคร

เขามีศรัทธา เขามีความเชื่อของเขา ศรัทธาความเชื่อมันมาจากไหน ถ้าคนไม่มีศรัทธา มันจะไม่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา เพราะมันมีศรัทธาความเชื่อมันถึงมาศึกษา พอศึกษาขึ้นมามันจะเข้าสู่เนื้อธรรม สิ่งที่เราทำบุญกันอยู่นี้มันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิส อามิสที่ว่าทำบุญกุศลมันก็ให้ผลเป็นบุญกุศล กุศล เห็นไหม ทำคุณงามความดี กลิ่นของศีลหอมทวนลม คนดีมันก็ดีไป แต่ถ้าคนมันชั่ว คนมันทำลายคน ความชั่วมันก็ขจรขจายไปเหมือนกัน

เวลาว่าบอบช้ำ บอบช้ำเพราะคนมีศรัทธามีความเชื่อมันก็ยังบอบช้ำ แต่ถ้าคนที่เขาไม่ศรัทธา นี่ไปเบียดเบียนเขา เราไปเบียดเบียนเขาทำไม เราไปเบียดเบียนเพราะอะไร เพราะเราไม่อยากเบียดเบียนคนอื่นใช่ไหม เรามาบวชอยู่นี่เรามาบวชเพื่ออะไร ถ้าเราบวช เราบวชเพื่อตัวเราไง เราบวชเพื่อตัวเรานะ

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละราชบัลลังก์มา สละราชวังมา ไปศึกษาอยู่ ๖ ปี ค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ค้นคว้าเพื่อใคร? ก็เพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นคว้ามาๆ เพื่ออะไร เพราะมันทุกข์ ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันทุกข์มันยาก แล้วเราก็เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีปัญญาของท่าน เวลาเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วทำอย่างไรถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ไอ้เราไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็จะหายากันไง หายา หาสิ่งที่ต่อชีวิตไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่คิดอย่างนั้น อะไรมันเกิด อะไรมันแก่ อะไรมันเจ็บ มันตายล่ะ

จิตต่างหากที่มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตาย ถ้ามันเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็สงวนรักษาไว้ว่าจะเป็นของเรา สงวนรักษาจะเป็นของเราๆ ของเราตลอดไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาค้นคว้า ค้นคว้ามาเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ท่านถึงได้วางศาสนามา ถึงได้เผยแผ่ศาสนามาเป็นธรรมวินัยของเรา ถ้าเป็นธรรมวินัย สิ่งที่ธรรมวินัย แล้วบัญญัติไว้ ออกพรรษาแล้วให้มีการทอดกฐินภายใน ๑ เดือน ถ้าเป็นทอดผ้าป่า ทอดต่างๆ ไม่มีกำหนด อันนั้นบุญเราก็ทำบุญกัน

เราทำบุญกุศลทำเพื่อเรานะ มันก็เหมือนกับว่าสิ่งที่เป็นวัตถุธาตุ เราก็ทำของเราได้ เราทำของเราได้มันเป็นผลของวัฏฏะนะ แต่เวลาหลวงปู่มั่น เวลาท่านประพฤติปฏิบัติทั้งชีวิตของท่าน ท่านไม่มีกฐินนะ หลวงปู่มั่นไม่มีกฐินนะ ท่านถือผ้าบังสุกุล ไม่มีกฐิน ไม่มีแล้วผิดไหมล่ะ

ถ้าเราบอกมันจำเป็นๆ มันจำเป็นเพราะเราไง มันจำเป็นเพราะคนที่ขี้ทุกข์ขี้ยากนี่ไง เพราะมันเป็นเครื่องดำเนินไง มันเป็นเครื่องดำเนิน มันเป็นบุญกุศล มันเป็นทางที่เราจะพึ่งพาอาศัย มีบุญกุศลเป็นเครื่องดำรงชีวิตไปไง มันจำเป็นเพราะเราไง แต่มันจำเป็นต่อหลวงปู่มั่นไหม? ไม่จำเป็นต่อหลวงปู่มั่น ไม่จำเป็น

เวลาหลวงตาท่านจะลาหลวงปู่มั่นออกไปวิเวก ออกไปวิเวกนะ บอกว่า คราวนี้จะไม่ได้กลับมาทำมาฆบูชากับพ่อแม่ครูจารย์แล้วล่ะ

ท่านบอกว่าทำคนเดียวก็ได้ ทำมาฆบูชา เราก็ทำมาฆบูชาในป่าของเราคนเดียวก็ได้ วันวิสาขบูชาเราก็ทำ

ไม่ใช่ว่ากฐินไม่มีความสำคัญ วันมาฆบูชาก็มีความสำคัญ วันวิสาขบูชาก็มีความสำคัญ วันอาสาฬหบูชาก็มีความสำคัญ วันเข้าพรรษาก็มีความสำคัญ วันออกพรรษาก็มีความสำคัญ วันพระวันโกนก็มีความสำคัญ ความสำคัญทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที เพราะกำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดทุกเวลา ทุกนาที มันมีความสำคัญไปหมดแหละ ถ้าคนมันฉลาดมันมีความสำคัญไปหมด เห็นไหม

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาปฏิบัติเพื่ออะไร? ปฏิบัติขึ้นมาเพื่อชำระล้างกิเลสในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าชำระล้างกิเลสในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา กฐินอย่างนั้นมันเป็นกฐินที่รักษาหัวใจไง

ดูสิ เวลาเราสร้างบุญกุศลกัน เวลาหล่อพระ เวลาหล่อพระขึ้นมา โอ้โฮ! ทุกคนฮือฮา หล่อพระ เพราะหล่อพระเสร็จแล้วพระมันสวยมันงามไง หล่อพระ คนไปกันหมดเลยเพราะมันไปหล่อพระ หล่อพระ ที่ไหนก็หล่อพระไง

แต่หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านหล่อพระในใจ เวลาหล่อพระในใจใครจะมาช่วย

ไปหล่อพระ เราไปร่วมบุญกุศลไปหล่อพระขึ้นมา เวลาเขาเททองกัน เทเสร็จแล้วมาขัดมาแต่งขึ้นมา โอ๋ย! พระสวยงามเลย หล่อพระ ได้บุญกุศลมหาศาลเลย โอ๋ย! ปลื้มใจ นี่กฐินทางโลก แต่กฐินแบบพระป่า ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กฐินแบบพระป่าท่านให้เรียบง่าย สิ่งที่เป็นความจริงที่สุดคือมันเรียบง่าย

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันอยู่ที่ไหนล่ะ เวลากฐินทีหนึ่งก็จัดให้มันหรูหรา จัดให้มันเหิมเกริม จัดให้มีมหรสพสมโภช มันธรรมชาติหรือน่ะ ไปจ้างเขามาทั้งนั้น

ถ้าธรรมชาติมันก็ต้องอยู่ที่สัจธรรม อยู่ที่อันนั้นสิ ทำไมมันต้องมีสิ่งที่มาขับกล่อม มามหรสพสมโภชขนาดนั้นล่ะ นั่นกฐินทางโลก ถ้ากฐินทางธรรม ดูสิ เวลาอยู่กับหลวงตา เวลากฐินของท่านก่อนที่จะออกมาโครงการช่วยชาติ กฐินก็เหมือนวันปกตินี่แหละ วันปกติไง เขาไม่ตื่น ไม่ฟุ่มเฟือยไปกับโลกเขา มันต้องรักษาตรงนี้ไว้ ถ้ารักษาตรงนี้ไว้ เพราะอะไร เพราะถ้าเรารักษาของเราไว้ รักษาไว้ ประเพณีวัฒนธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าประเพณีวัฒนธรรมของครูบาอาจารย์เรา เรามีเป้าหมายไง

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมาเพื่อจะได้มรรคได้ผล แล้วมรรคผลมันอยู่ไหนล่ะ มรรคผลมันอยู่ที่ไหน มรรคผลมันอยู่ที่ประเพณีนั้นหรือ ประเพณีมันเป็นประโยชน์ที่โลกเขาต้องมีประเพณีกัน ถ้าไม่มีประเพณี ชาติจะอยู่ได้อย่างไร เขาว่าความมั่นคงของชาติๆ ความมั่นคงของชาติเขาก็ต้องมีประเพณีวัฒนธรรมของเขา

แต่ความมั่นคงของธรรมล่ะ ความมั่นคงของธรรม เห็นไหม ความมั่นคงของธรรมมันต้องมีธรรมในหัวใจ ศาสนทายาท

เวลาเขาทำไร่ทำนานะ เขาใช้ปุ๋ยเคมี เขาว่าเขาสะดวกสบายของเขา ได้ดอกได้ผล ได้พืชพันธุ์สมความปรารถนา ไม่กี่ปีหรอก ดินมันก็เสียหาย ทุกอย่างก็เสียหาย นั้นเป็นปุ๋ยเคมี แต่เวลาจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์มันต้องเหนื่อยต้องยาก ต้องทำเอง มันเกิดจากพื้นที่นั้นไง แต่เวลามันเหนื่อยมันยากขึ้นมา พอทำไปแล้วดินมันก็ร่วนซุยนะ ดินมันก็มีคุณภาพ ทุกอย่างมันก็ดีงามไปหมดไง

นี่ไง มันอยู่ที่เราเลือก เราก็เลือกจะเอาสะดวกเอาสบาย เราจะเอาแต่ความพอใจของเรา เพราะมันสะดวกไง แล้วก็มีเวลาว่าง เห็นไหม เวลาทำปุ๋ยอินทรีย์ มันต้องทำปุ๋ยอินทรีย์ มันต้องดูต้องแลมันลำบาก เวลาเราใช้ปุ๋ยเคมี สั่งมาได้เลยนะ แล้วเวลามันจ่ายเงินไปนะ เงินมันก็ส่งออกไปนอกหมดนะ แล้วเวลาใช้ไปแล้วมันก็ได้ผลชั่วคราว ได้ผลตอนแรก แต่พอสารเคมีมันทำให้ดินเสียหายขึ้นมามันก็มีความเสียหายไง แต่ถ้าปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เราใช้จากวัตถุพื้นบ้าน เราใช้จากวัตถุที่มันมีอยู่ วัตถุที่มีอยู่เราเอามาหมัก เอามาทำของเรา เวลาเราใช้ไป ดินมันร่วนซุย ดินมันมีสารอินทรีย์ต่างๆ แต่มันอยากเทียมหน้าเทียมตาโลกไง ถ้าเทียมหน้าเทียมตาโลก เพราะมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ในใจ

ถ้าจะมีหลักมีเกณฑ์ในใจ มันต้องมีสัจจะ ถ้ามีสัจจะขึ้นมา เราจะมีศีล มีสมาธิ มีภาวนา ถ้าเรามีศีล มีสมาธิ มีภาวนา เราจะหล่อพระในหัวใจของเรา

เวลาเรามีกฐิน กฐิน กว่าจะเป็นกฐินนะ หนึ่ง ห้ามไปอ้อนวอนเขา ห้ามขอเขา ห้ามบอกเขา ห้ามทำนัดหมายเขา เพราะมันเป็นอันไม่กราน มันไม่บริสุทธิ์ เวลาพูดถึงความบริสุทธิ์ แต่เราไปดูกันที่บริวารมันไง ตัวกฐินมันก็ตัวผ้านั่นน่ะ ตัวผ้ามันอยู่ที่ตัวเจตนานั่นน่ะ ตัวเจตนาก็เข้าอยู่ที่ใจของบริษัท ๔ ถ้าบริษัท ๔ เขามีน้ำใจต่อกัน คนที่เอื้ออาทรต่อกัน คนที่ดูแลกันมันจะไม่มีอะไรขาดแคลนเลย ถึงมีน้อยมันก็เจือจานกัน สิ่งที่มันเป็นธรรมๆ ไม่ต้องไปห่วงว่ามันจะมีหรือไม่มี

หลวงตาท่านพูดบ่อย อยากจะดูนักว่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วไม่มีข้าวจะกิน มันจะอดอยาก

เวลาทุกคนบอกว่าบวชพระไป แก่เฒ่าขึ้นมาใครจะดูแล เวลาอยู่บ้านกันมันดูแลพ่อแม่มันหรือเปล่า พ่อแม่ทิ้งไว้ที่บ้าน มันเคยหันไปมองพ่อแม่มันบ้างไหม เพราะอะไร นั่นก็แก่เฒ่าไง แล้วเวลาพระบวชไปก็แก่เฒ่า แก่เฒ่าขึ้นมา ถ้าคนอยู่ในสังคม อยู่กับผู้ที่มีคุณธรรม คุณธรรม เขาเคารพบูชากัน เขาเคารพนะ หมู่คณะมันจะมีความสัมพันธ์ต่อกัน เขาจะรู้ถึงธาตุขันธ์ต่อกัน อันนี้ถ้ามีคุณธรรม

ถ้าเราแก่เราเฒ่า เราเป็นพระแก่เฒ่า ถ้าไม่มีใครดูแล ไม่มีใครดูแลมันก็เป็นอำนาจวาสนาของเรา ถ้ามันมีสัจจะมีความจริง ความแก่ความเฒ่า อายุ ๘๐ ก็ยังแข็งแรงเยอะแยะไป ถ้าแข็งแรงนะ เราอายุน้อยๆ เราเจ็บออดๆ แอดๆ มันก็มี มันอยู่ที่ธาตุขันธ์ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน มันจะไปทุกข์ไปยากอะไร แม้แต่อยู่ทางโลก ถ้าลูกหลานมันไม่ดูแล แก่เฒ่าขึ้นมามันยิ่งว้าเหว่ เพราะอะไร เพราะเรามีทุกอย่างพร้อมเลย แต่ทำไมเขาไม่คิดถึงเราเลย

เครื่องหมายของคนดีคือการกตัญญูกตเวที นี่เครื่องหมายของคนดี มีความกตัญญูกตเวที มีความเกรงกลัว มีความละอายต่อบาป ถ้ามีความเกรงกลัว มีความละอายต่อบาป เราจะทำอะไรให้มันผิดพลาด เวลาผิดพลาด เราทำสิ่งใดเป็นทางโลกเราก็คิดว่าทำได้ ถ้าเจ้าหน้าที่เขาจับไม่ได้มันก็ว่าเป็นความถูกต้องทั้งนั้นแหละ แต่วันไหนเจ้าหน้าที่จับได้ก็บอกว่าเขาว่า เขาว่า มันไม่ได้ทำ

แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธนะ แล้วเรามีจิตใจที่สูงส่งขึ้นมานะ เวลาเราจะเข้าสู่สัจธรรม คำว่า “เข้าสู่สัจธรรม” มันเป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมจะเป็นสมบัติสาธารณะ ทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงได้ เข้าถึงได้ด้วยอะไร? ด้วยหัวใจไง

เวลาโลกเขาทำกัน สิ่งที่ว่าเขาหล่อพระๆ นี่หล่อพระทางโลกไง เราจะหล่อพระทางหัวใจของเรา ทำบุญกุศลนี้ก็เพราะใจ ทอดกฐินก็เพราะใจ แล้วใจขึ้นมา ทอดกฐินเราจะทอดกฐินแบบโลกๆ หรือเราจะทอดกฐินแบบธรรม ทอดกฐินแบบครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าทอดแบบครูบาอาจารย์ของเรา ใจเราอย่าให้มันหลอกแหลก ใจเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาเขาทำบุญกุศลกัน เวลาเขาจะกรวดน้ำ ทำไมเขาต้องกรวดน้ำ ถ้ากรวดน้ำเป็นบุญกุศลนะ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำเจ้าพระยามันมีบุญกว่าเราอีก มันไหลทั้งวันเลย เวลาทำบุญๆ แล้วเขาบอกมากรวดน้ำ

การกรวดน้ำ มันเป็นอุบายให้จิตใจเรามั่นคง ให้กรวดน้ำนะ ให้มองที่น้ำนั้นนะ พอใจมันมั่นคง ใจมันเป็นรูปธรรม แล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นไป นี่ไง เวลาเราทอดกฐินๆ ก็เพราะว่าให้หัวใจเรามั่นคง เวลาฟังธรรมๆ ให้หัวใจเรามั่นคง หัวใจเรามั่นคงขึ้นมา ถ้าหัวใจเรามั่นคงแล้วมันจะยกระดับขึ้น ความยกระดับขึ้นเป็นจิตใจที่สาธารณะ

เวลากฐินมหาชน คนเขามาช่วยเหลือกัน เขามาทำไม ทำไมเขาไม่อยู่บ้าน เขาไม่สะดวกสบายอยู่บ้าน เขานอนสะดวกสบาย เขามาตากแดดตากฝน เขามาทำถนนหนทาง เขามาทำไมกัน เพราะหัวใจเขาสูงส่งไง คุณค่าของน้ำใจไง ไม่ใช่คุณค่าของเงิน ไม่ใช่คุณค่าของการยกย่อง นับหน้าถือตา คุณค่าของหัวใจ ถ้าหัวใจมันเรียกร้อง หัวใจมันมีคุณธรรม หัวใจมันเรียกร้อง มันไม่ต้องให้ใครบอก

แต่ถ้ามันไม่มีคุณธรรม มันจะเอาแต่กรวดน้ำๆ กรวดน้ำสู้แม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ กรวดน้ำสู้แม่น้ำแม่กลองไม่ได้หรอก แม่น้ำแม่กลองมันไหลทั้งวันเลย เห็นไหม อันนี้มันเป็นอุบาย ถ้าเราเข้าใจว่าเป็นอุบาย อุบายก็เพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อให้เรามั่นคง เพื่อให้จิตใจเราแน่วแน่ แล้วอุทิศส่วนกุศลนั้น ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย เจ้ากรรมนายเวร อุทิศส่วนกุศลเพื่อเขา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเวลาคน จิตเวียนว่ายตายเกิดเราไม่รู้หรอก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนระลึกอดีตชาติไป ทำไมมาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ย้อนกลับไป ทำไมไปเกิดเป็นพระเวสสันดร มันย้อนไปเลย มันย้อนไป เห็นไหม จิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดไง ฉะนั้น สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่เราทำบุญกุศล กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไป

การเวียนว่ายตายเกิดแต่ละภพแต่ละชาติมันก็มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลานทุกภพทุกชาติ การบาดหมาง การเบียดเบียนกันมันมีเป็นเรื่องธรรมดา คนเราคิด มันมีความเห็นต่างทั้งนั้นแหละ ถ้าเรามีความผิดพลาดสิ่งใด เราขออภัย เราอุทิศส่วนกุศลนี้ให้ อุทิศส่วนกุศลนี้ให้

ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลๆ แล้วทำทำไม ทำไปทำไม

ทำไปนะ ทำไปเพื่อเรานั่นแหละ อุทิศส่วนกุศล สิ่งที่เจ้ากรรมนายเวร สิ่งที่มีแต่คนยกย่อง มีแต่คนที่เปิดช่องทางให้ ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดแล้วมันก็ไม่กีดไม่ขวาง แต่ถ้าเราทำสิ่งใดไป ทำแล้วก็จับจด ทำแล้วก็ขาดตกบกพร่อง ทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที มันเป็นเพราะเหตุใด

อุทิศส่วนกุศลนะ นี่เราทำเพื่อวัฏฏะ ทำเพื่อโลก แต่พอจิตใจมันพัฒนาขึ้น มันพัฒนาขึ้น ไม่ไปแล้ว ไม่ทำเพื่อใครแล้ว มันจะทำเพื่อหัวใจดวงนี้แล้ว ถ้ามันจะทำเพื่อหัวใจดวงนี้ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นวาระของมัน จิตเกิดบนพรหม หมดอายุขัยก็ต้องมาเกิดเป็นเทวดา มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นนรกอเวจี มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อยู่ที่มันจะเกิดจะตาย ถ้าตกนรกอเวจีไปด้วยความผิดพลาดของเรา ถ้ามันใช้เวรใช้กรรมหมดแล้วมันก็หมดเวรหมดกรรม มันก็เวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา จิตใจของเรา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราจะทำอย่างไร

เอาเดี๋ยวนี้เลย เอาที่มันจบเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเดี๋ยวนี้เลยปั๊บ เราก็ไปหาครูบาอาจารย์แล้ว ผมจะปฏิบัติอย่างไร ผมอยากจะพ้นจากทุกข์ผมจะปฏิบัติอย่างไร ถ้าผมจะปฏิบัติอย่างไร มันมีที่ปฏิบัติไหมล่ะ ถ้ามีที่ปฏิบัตินะ เราต้องปฏิบัติที่ไหนล่ะ? ปฏิบัติลงที่หัวใจของเราไง แล้วหัวใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ? ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ มันเป็นลมหายใจ มันจะมีประโยชน์อะไร แล้วหัวใจมีประโยชน์หรือเปล่าล่ะ ถ้าหัวใจมีประโยชน์ หัวใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ

เราจะหาหัวใจของเรา แต่หัวใจนี้เป็นนามธรรม แล้วเราเป็นคนที่หยาบ คนที่ไม่มีสติปัญญาสามารถจะค้นคว้าตัวของเราเองได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางกรรมฐาน ๔๐ ห้องไว้ให้เราค้นคว้าหาหัวใจของเราเอง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วถ้ามันละเอียดขึ้นมา พุทโธๆๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วกำหนดไว้ชัดๆ ถ้าคนที่สร้างบุญกุศลมามาก คนที่มีบุญมามาก มันจะลงสู่สมาธิ ถ้ามันลงสู่สมาธิได้ โอ้โฮ! เราหลงไปไหน เราหลงไปไหน ทำไมเราไม่รู้จักตัวเราเอง แต่ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา เวลากำหนดพุทโธแล้วมันก็ลำบาก กำหนดพุทโธแล้วก็ไม่ได้ กำหนดพุทโธแล้วทำไม่ได้เลย

ก็ดูสิ คนที่มั่งมีศรีสุข คนที่มีบุญกุศลในโลกนี้มันมีเท่าไร คนทุกข์คนยากมันมหาศาล ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะ มันเป็นแบบนั้นเพราะวุฒิภาวะของใจ คนสร้างมาเป็นแบบนี้ไง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็จะให้สมความปรารถนา ให้ทำได้ทุกๆ คนไง “ประชาธิปไตยๆ สิทธิเสรีภาพ”...สิทธิของกรรมไง กรรมดี-กรรมชั่ว ถ้าทำคุณงามความดีมามันจะเกิดประโยชน์ตรงนี้ สิ่งนี้สิ่งที่เป็นนามธรรม แล้วมันหาได้ที่ไหนล่ะ? มันหาได้ในหัวใจของเรา มันทำได้ เพราะการทำได้ ศาสนาที่มีค่าอยู่นี่ไง

เฟืองตัวเล็กเฟืองตัวน้อยต่างๆ ที่เขามาช่วยเหลืออยู่นี่เพราะเขาจะสร้างสมบุญญาธิการของเขา เวลาเขาทำงานของเขาเสร็จแล้วเขาจะนั่งสมาธิภาวนาของเขา เขาทำของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา เวลาไปนั่งสมาธิภาวนาทำให้ใครดู จะไปอวดใคร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นโพธิ์ ทำอยู่ตัวต่อตัว ทำระหว่างกิเลสกับธรรมที่ต่อสู้กันในใจมันทำที่ไหน

ถ้าครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมแบบนี้ เวลาทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทอดต่างๆ มันก็จะเป็นการทอดกฐิน ทอดผ้าป่าโดยสิ่งที่ว่าเป็นอีเอ็ม เป็นสิ่งที่เป็นที่พืช มันลำบาก มันไม่เหมือนกับปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีสั่งซื้อเลย เท่าไรก็ได้ สั่งซื้อเสร็จ ทำเสร็จแล้วจะรู้ว่าปุ๋ยปลอมก็ต่อเมื่อพืชผลมันไม่เกิด ปุ๋ยมันปลอม เสียเงินก็ฟรี เหนื่อยเปล่า แล้วพืชผลก็ไม่ได้ แล้วไปซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ถ้ามันปลอมล่ะ ปลอมมันก็เหมือนกัน เวลามันปลอมขึ้นมานะ มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย แล้วปลอมมันปลอมมาจากไหน? ปลอมมันปลอมมาจากกิเลสนะ กิเลสมันคืออะไร? กิเลสคือความมักง่าย ความมักง่าย ความด่วนได้ ความอยากได้ นี่กิเลสทั้งนั้นแหละ

แล้วเวลาพระปฏิบัติ เวลาอยากมรรคผล นี่เป็นกิเลสไหม? มันไม่เป็น เวลาเขามีเป้าหมาย อธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศ จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาต้องมีเป้าหมาย มีอำนาจวาสนาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเป้าหมายแล้วพยายามทำต่อเนื่องๆ ไป แล้วเวลาคนปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มหาศาลเลย ถึงเวลาแล้วไปไม่ไหวก็ลา ลา บางทีไปไม่ไหวก็พลิกกลับ แล้วจะไปถึงเป้าหมายได้เท่าไร

เวลาถึงเป้าหมาย ว่ามันเป็นกิเลสๆ

เป้าหมายไม่ใช่กิเลส กิเลสคือมักง่าย ทำเลียนแบบ ทำเหมือน แล้วมันไม่เหมือน ยิ่งทำมันยิ่งทำลายตัวเอง แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเป็นความจริงเพื่อเรา ถ้าเราจะทำความจริงของเรา เราตั้งสติแล้วทำสมาธิของเรา มีปัญญาของเรา เราจะรู้ได้หมดแหละ ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่ท่านเป็นจริงหรือไม่จริง เพราะอะไร เพราะเวลามันพิสูจน์ กาลเวลานะ สิ่งใดก็แล้วแต่ เวลามันพิสูจน์ได้ ถ้าเวลามันพิสูจน์ได้ มันจะออกมาเป็นความจริง

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง อย่างน้อยมันจะมีความกตัญญูกตเวที เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรม หลวงตากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่างกัน ๒,๐๐๐ กว่าปี ทำไมหลวงตาท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบใครน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปี หลวงตาท่านมาปี ๒๔๙๒ นี่ ๒,๕๐๐ กว่าปี คนไม่เคยเห็นกันเลย ๒,๐๐๐ กว่าปี ทำไมกราบระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันกราบแล้วกราบเล่า เพราะอะไรล่ะ เพราะมันเป็นความจริงในหัวใจไง มันมหัศจรรย์ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่ใจท่านเป็นธรรม ความเป็นธรรมอันนั้นมันมีหลัก

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันลึกซึ้ง มันจะบอกใครได้ มันบอกเขาไม่ได้หรอก เพราะเวลาพูดไปแล้วคำพูดเดียวกัน แต่ตีความต่างกัน แล้วเวลาพูดก็พูดเหมือนกัน แล้วเวลาความจริงมันเหมือนกันไหมล่ะ? มันไม่เหมือน มันไม่เหมือนเพราะอะไรล่ะ มันไม่เหมือนเพราะกิเลสมันกัดหัวใจไง เวลามันกัดหัวใจแล้วมันก็แสดงออกเวลามันแสดงออกนั้นไง ถ้าแสดงออกมา เห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ในเมื่อหัวใจมันเป็นจริง เวลาเป็นจริง เป็นจริงมาจากอะไรล่ะ เป็นจริงมาจากมรรค เป็นจริงมาจากศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล มีสมาธิ ปัญญาตามความเป็นจริง แล้วตามความเป็นจริงทำอย่างนั้น มันต้องหาที่สงัดหาที่วิเวก หาที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง เพราะถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริง ท่านจะป้องกันไว้ให้ ป้องกันไว้ให้นะ เพราะเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป พอไปเห็นสิ่งใดเข้ามันก็อยากจะอวดอยากจะโชว์ ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านคอยเขกไว้ “เอาตัวให้รอดก่อน เอาตัวให้รอดก่อน ถ้าเอาตัวให้รอดแล้วเดี๋ยวค่อยมาช่วยเหลือเจือจานโลก”

แต่พอเริ่มจิ่มๆ เริ่มจะเป็น มันก็อยากจะโชว์ๆ พอไปโชว์เข้ามันก็เสื่อมหมดไง แล้วพอเสื่อมหมดแล้วทีนี้ก็ล้มลุกคลุกคลานไง นี่ไง กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ว่ามันต้องมีข้อวัตร มีระยะห่างระหว่างโยมกับพระ เวลาพระจะทำตัวแบบโยมไม่ได้ เวลาโยมก็จะทำตัวแบบพระไม่ได้ แต่นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน เป็นโยมก็เป็นพระอริยบุคคลได้ ถ้าเป็นอริยบุคคลได้มันจะเข้าใจสิ่งนี้ได้หมดเลย แต่ถ้ายังเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ เราต้องมีระยะห่าง คำว่า “ระยะห่าง” มันเป็นเหมือนกันไม่ได้ ถ้ามันเป็นเหมือนกันไม่ได้นะ ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันจะมีสัจจะของมันอันนี้ ถ้ามีสัจจะอันนี้ ทำอย่างนี้ทำเพื่อใคร? ทำเพื่อศาสนา

เวลาเราทำบุญกุศล ทำบุญอุทิศให้ในหลวงๆ จริงๆ ทำบุญให้เราทั้งนั้นแหละ เราเป็นคนทำบุญ เราได้ เราอุทิศให้ในหลวง นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำขึ้นมาก็ทำอุทิศองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำอุทิศองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ทำเพื่อเราทั้งนั้นแหละ เพราะเรามันเป็นจริงไง ถ้าเราไม่เป็นจริงมันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ที่เราบากบั่นกันมาอยู่นี่เรามาทำไม อย่างน้อยๆ มันก็มาสร้างสมบารมี สร้างสมตัวเอง ถ้าคนที่จิตใจเขาเป็นธรรม ถ้าคนที่เขามีศรัทธา ถ้าเขาลำบากของเขา เขาว่าไปเบียดเบียนเขา แต่ถ้ามาบอกว่าไปทำให้เขาเศร้าหมอง แต่ถ้ามันหยาบ มันก็ไปเบียดเบียนเขา

แต่ถ้าจิตใจเราเป็นศรัทธา เราไม่ได้เบียดเบียน เราจงใจ เราตั้งใจ เราตั้งใจของเรามาเอง เราตั้งใจของเรา นี่ศรัทธาความเชื่อ เจตนามันจะเข้าสู่จิตไง เวลาจิตที่มันทุกข์มันยาก มันล้มลุกคลุกคลาน มันล้มลุกคลุกคลานเพราะอะไร แล้วมันจะไปตั้งตัวขึ้นมาได้ มันตั้งตัวขึ้นมาได้ แล้วตั้งตัวขึ้นมาก็สติ สติก็บอกว่า ส.เสือ ต.เต่า สระอิ กูพูดถูก ทำไมสติมันเป็นอย่างนี้ แต่ล้มลุกคลุกคลาน ยังเผลออยู่นั่น

ถ้าสติจริงๆ มันไม่ต้องใช้ชื่อ สติเก็บไว้ในสมุด แต่ของฉันนี้แจ๋ว ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิมันก็เกิดจากเรา สมาธิมันเกิดจากจิต ถ้าสมาธิมันเกิดจากจิตนะ มันผ่อนมาแล้ว เพราะอะไร เพราะมันมีสมาธิ มันมีความสุข คำว่า “มีสมาธิ” หมายความว่ามันมีความสุขใจ จิตสงบแล้วมันมีความสุขใจ แล้วบอกฉันมีสมาธิ แต่ดิ้นเหมือนหมาบ้าเลย มันมีสมาธิตรงไหน สมาธิของฉันมันดิ้นเอาๆ มันเป็นสมาธิไหม ถ้ามันเป็นสมาธิมันจะดิ้นอย่างนั้นไหม

มันต้องไม่ดิ้น แล้วถ้ามันไม่ดิ้น เพราะสมาธิมันคือความสุข “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” แล้วจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา อันนี้สำคัญมากนะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนานี้เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เป็นภาวนามยปัญญา พระพุทธศาสนาไม่ใช่สุตะหรือจินตมยปัญญา สุตะ จินตมยปัญญานี้คือปัญญาศึกษา แต่คนภาวนาไม่เป็นจะไม่เคยได้สัมผัสภาวนามยปัญญา แล้วไม่มีใครเคยพูดถึงภาวนามยปัญญาได้อย่างถูกต้อง มีแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เพชรน้ำหนึ่งของหลวงตา

คนที่พูดถึงภาวนามยปัญญา ถึงที่สุดแล้วเราจะสอนลูกศิษย์ เราจะบอกลูกศิษย์ให้ลูกศิษย์จบการศึกษา เราไม่บอกถึงที่สุด ลูกศิษย์มันจะจบการศึกษาได้หรือไม่ แล้วเวลาเขาเทศน์เขาสอนกันมันไม่มีภาวนามยปัญญา แล้วมันจะจบการศึกษาได้หรือไม่ แล้วภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไรล่ะ ภาวนามยปัญญามันเกิดจากศีล เกิดจากสมาธิ สมาธิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาญาณคือการรู้แจ้ง การรู้แจ้งคือภาวนามยปัญญา

ฉะนั้น ที่ว่าการเห็นกายๆ ตอนนี้พูดกันฟั่นเฝือว่าฉันก็เห็นกาย ฉันก็เห็นกาย

โทษนะ สุนัขมันก็เห็นกาย สุนัขมันก็มองเราอยู่ เราเลี้ยงสุนัขมาสุนัขมันก็เห็น นี่พระ เห็นกายของพระ มันก็เห็น ว่าเห็นกายๆ ใครเห็น ใครเห็นกาย อะไรเห็น

แต่ถ้าจิตมันสงบ จิตสงบนะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา สงบ นิ่ง เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันจะเป็นธรรมชาติอย่างไร ถ้าจิตมันสงบไง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันถึงว่าไม่มีสมุทัยไง แล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันเห็นกายล่ะ แล้วถ้ามันเห็นกาย มันเห็นกายมันพิจารณาของมันไปล่ะ นี่ไง พระพุทธศาสนา ที่ว่าศาสนาแห่งปัญญา ตรงนี้ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่

สมาธิมันมีอยู่โดยดั้งเดิม สมาธิ เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็มีฌานสมาบัติอยู่แล้ว ฌานสมาบัติมันก็คือสมาธิ แล้วเอาตัวไม่รอด แล้วเวลาในปัจจุบันนี้ก็พิจารณากายๆ ก็นกแก้วไง นกแก้วนกขุนทองมันก็ท่องบ่นของมันไปไง

แต่ถ้ามันเห็นจริงมันจะไปสำรอก ความสำรอก ความคายออก คายกิเลสน่ะ อันนั้นเวลามันคายออกมันเกิดจากอะไรล่ะ? มันเกิดจากมรรค เกิดจากมรรคญาณ แล้วว่าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล แล้วมรรคมันเป็นอย่างไรล่ะ มรรคก็เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบหมด ทำอาชีวะเลี้ยงชีพชอบหมด...มันเลี้ยงปาก เลี้ยงชีพชอบแล้วทุกข์ไหม เลี้ยงชีพชอบยังตายอยู่หรือเปล่า นี่มันมรรคของฆราวาสไง มันเป็นอาชีพที่ถูกต้องดีงามตามกฎหมายไง

แต่ถ้ามันเกิดปัญญา ภาวนามยปัญญา สัมมาอาชีวะ เวลาเลี้ยงชีพชอบของมรรค มรรคหยาบมรรคละเอียด ถ้าใครภาวนาเป็นมันจะเข้าไปสู่ภาวนามยปัญญา แล้วถ้ามันมีภาวนามยปัญญา ศาสนาพุทธสอนที่นี่ พระพุทธเจ้าสอนที่นี่ พระพุทธเจ้าสอนวิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาจารย์ เขาว่าวิปัสสนาจารย์...จานกระเบื้อง เขาใช้โฟมกัน กินแล้วทิ้ง วิปัสสนาจารย์ จารย์อะไรของมึง รู้อะไร

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนอย่างนี้ ที่พูดอย่างนี้เพราะพูดให้เห็นคุณประโยชน์ของข้อวัตรปฏิบัติที่หลวงปู่มั่นท่านรื้อค้นมานะ รื้อค้นมา แล้วท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตอยู่ป่าอยู่เขา อยู่ป่าอยู่เขาว่าเป็นแบบอย่าง เป็นคติ เป็นแบบอย่าง

ฉะนั้น สิ่งที่เราทำบุญกุศลกัน ถ้าบอกว่ามันไม่จำเป็นแล้วทำทำไม ในวัดเราก็มีเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละ มีกฐิน แล้วอยากจะยกเลิกมานานแล้วด้วย แต่มันก็ให้โอกาสไง ให้โอกาสการกระทำ เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี เป็นการสร้างบุญกุศลของผู้ที่ปรารถนาพ้นจากทุกข์ แต่เวลาจะพ้นจากทุกข์มันก็ต้องไปภาวนาเอา มันต้องไปทำความจริงอันนั้นเอา

ฉะนั้น สิ่งที่ทำนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม แล้วถ้าสิ่งนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรมทำเพื่อประโยชน์ๆ แล้วประโยชน์ของมันก็ตัวผ้านั่นล่ะ แต่ไปมองกันที่บริวารไงว่ามีมากมีน้อย มีตัวเลขมากตัวเลขน้อยไง ไปแข่งขันกันตรงนั้นไง...ไม่ทำเศร้าหมองก็เบียดเบียน

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เป็นศรัทธาของคน เป็นศรัทธา เห็นไหม เราทำเพื่อความสะอาดเพื่อความบริสุทธิ์ของศาสนา ถ้าศาสนานะ ให้ศาสนานี้มีคุณธรรม ถ้าใจมันสูงส่ง มันไม่ติดมันไม่ติดอะไรบ้าง แม้แต่ถ้าไม่ติดวัตถุมันก็ติดยศ ติดการสรรเสริญ ติดความยกย่อง แล้วถ้าความยกย่อง อยากให้เขายกย่องก็ต้อง “เจริญพร เจริญพร” กลัว กลัวเขาบอกว่าเรามีอารมณ์รุนแรง กลัวเขาจะว่าเราฉุนเฉียว

ฉุนเฉียว ถ้ามันฆ่าฟันกันมันฉุนเฉียวด้วยโทสะ ฉุนเฉียวของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ฉุนเฉียวเพื่อฆ่ากิเลส กิเลสให้มันทะนงตน ให้มันขี่คอ ให้มันขี่หัวพระ ให้มันเหยียบย่ำ แล้วเคารพมัน อย่างนั้นหรือคือเป็นคนดี

แต่ถ้ามันมีสัจจะ มีความจริง เหยียบหัวมันไปเลย เหยียบหัวกิเลสมันไป แล้วว่ามันจะเป็นการทะนงตน มันจะเป็นการฉุนเฉียว ให้เขาว่าไป นั่นมันเรื่องของโลกเขา โลกเขา เขาไม่รู้เขาไม่เห็นเขาก็ไม่เข้าใจของเขา

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันต้องมีความเพียรชอบ มีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีสัจจะ คำว่า “จาคะ” มันมีมาอยู่แล้ว มันต้องมีสัจจะ มีความมั่นคงของเรา มันถึงนั่งสมาธิได้ตลอดรุ่ง มันจะนั่งสมาธิต่อสู้กับใคร? ต่อสู้กับกิเลส

ชนะตนดีกว่าชนะคนอื่นทั้งหมด ชนะตนคนเดียว ดีกว่าชนะกองทัพทั้งกองทัพ แล้วชนะตนคนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา จนป่านนี้เรายังอยู่ในธรรมและวินัยของท่าน จนป่านนี้นะ แล้ววันนี้วันมาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพราะว่าเป็นพุทธานุญาตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็มาทำ เราเชื่อ เพราะเราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีแก้วสารพัดนึกในใจของเรา เราถึงมาทำกัน แต่เวลามาทำแล้วมันจะไม่สะดวก ถ้ามันจะสะดวก ทำให้ได้ทุกอย่าง แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย เสียทรัพยากร เสียเวลา ใช้มันแค่ครึ่งวันแล้วก็เลิกกัน

แต่ถ้าเรามาเอาบุญกุศล เราจะทุกข์จะยาก นิดเดียว เล็กน้อยมาก แล้วคนเขาอยู่อย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติทำไมเขาอยู่ได้ แล้วเราแค่มาทำบุญแล้วก็กลับ ทำไมเราทำไม่ได้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราไปอยู่ในป่าในเขายิ่งกว่านี้ทำไมท่านทำได้ ทำไมหัวใจเราอ่อนแอกันขนาดนั้น ทำไมหัวใจเราต้องให้คนมาคอยบริการอย่างนั้น

ถ้ามันต้องไม่ให้ใครบริการ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หัวใจของพวกเราจะยืนขึ้นมา แล้วจะไม่เป็นเหยื่อ ไม่โดนแก๊งตกทองมันหลอก ไม่ให้แชร์ลูกโซ่มันจูง ไม่ให้ใครหลอกไปทั้งสิ้น ถ้าหัวใจมันไม่มีความโลภ ถ้ามันยืนขึ้นมาได้ เราไม่ต้องการให้ใครมาบริการทั้งนั้น เราจะทำตัวของเรา เราจะทำหัวใจของเราให้ยืนขึ้นมาให้ได้ไง

เราจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เราต้องหมัก เราต้องดูแล เราต้องทำของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับการกระทำของเรา แล้วต่อไปข้างหน้า ดินของเราก็จะดี หัวใจของเราก็จะดี ทุกอย่างมันจะดีขึ้นมาทั้งนั้นแหละ ถ้าเราทำของเรานะ แต่เราจะหวังพึ่งคนอื่น หวังให้คนมาชักนำอยู่อย่างนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าเรามีครูบาอาจารย์เราก็มีไว้เพื่อเป็นคติธรรม เพื่อเป็นแนวทาง เพื่อเป็นการชักจูงเท่านั้นแหละ แต่เวลาทำจริงเราก็ต้องทำทั้งนั้นแหละ หวังพึ่งตัวให้สำคัญที่สุด หวังพึ่งตัวเองสำคัญที่สุด แล้วเปิด F.M. ๑๐๓.๒๕ ฟังหลวงตา จบ ไม่ต้องให้ใครหลอก เปิด F.M. ๑๐๓.๒๕ ฟังหลวงตาของเรา อย่าให้ใครหลอก เอวัง